มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma หรือ HCC) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วโลก เป็นสาเหตุลำดับที่สองของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งของประชากรโลก ในประเทศไทย มะเร็งตับเป็นมะเร็งที่พบบ่อยอันดับ 1 ในเพศชาย และอันดับที่ 3 ในเพศหญิง รองจากมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก อัตราการเสียชีวิตของมะเร็งตับค่อนข้างสูง การลดปัจจัยเสี่ยง และการเฝ้าระวังโรคจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
มะเร็งตับพบบ่อยในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 2-3 เท่า นอกจากนี้ภาวะตับแข็งจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม เช่น จากไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี หรือแอลกอฮอล์ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ สำหรับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังแตกต่างจากโรคอื่น คือสามารถพบมะเร็งตับได้ในขณะที่ยังไม่มีภาวะตับแข็ง และความเสี่ยงจะสูงขึ้น ถ้าผู้ป่วยอายุมากขึ้น กล่าวคือในเพศชายที่อายุมากกว่า 40 ปี และเพศหญิงมากกว่า 50 ปี ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ การมีประวัติญาติสายตรงในครอบครัวเป็นมะเร็งตับ การสูบบุหรี่ การได้รับสารอะฟลาท็อกซิน
ปวดท้อง เบื่ออาหาร อย่าชะล่าใจ! อาจเสี่ยง..โรคมะเร็งตับ
ผู้ป่วยมะเร็งตับในระยะแรกอาจไม่มีอาการแสดงใดๆ ที่จำเพาะ เพียงแต่แสดงอาการของโรคตับแข็งที่เป็นอยู่ก่อนแล้ว อาการที่พบได้ของมะเร็งตับ เช่น เบื่ออาหาร แน่นท้อง ปวดท้อง ท้องโตขึ้น ตัวเหลืองตาเหลือง น้ำหนักลด รับประทานอาหารได้น้อยลง คลำก้อนได้ในท้อง
คุณเป็นโรคมะเร็งตับหรือไม่? รู้ได้ด้วยวิธีการตรวจ ดังนี้..
การตรวจสามารถทำได้หลายวิธี ในบางครั้งแพทย์อาจใช้การตรวจหลายแนวทางร่วมกัน เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งตับทำได้ ดังนี้
1. การตรวจทางรังสีวิทยา ได้แก่ การตรวจอัลตร้าซาวนด์ (Ultrasound) การตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography หรือ CT) การตรวจเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) โดยอาจใช้การฉีด สารทึบแสงร่วมด้วย เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย
2. การตรวจเลือดหาระดับของสารอัลฟ่าฟีโตโปรตีน (AFP) ซึ่งอาจพบสูงขึ้นในผู้ป่วยมะเร็งตับ
มะเร็งตับ..เป็นแล้วรักษาได้หรือไม่?
แนวทางการรักษามะเร็งตับสามารถทำได้หลายวิธี แต่ต้องคำนึงถึงสภาพ และความรุนแรงของโรคตับที่ผู้ป่วยอาจมีอยู่ก่อนแล้ว เช่น หากโรคตับแข็งของผู้ป่วยอยู่ในระยะที่การทำงานของตับไม่ดี หรืออยู่ในระยะท้ายๆ ของโรค การรักษามะเร็งตับอาจมีข้อจำกัดได้ นอกจากนั้นขนาดของมะเร็งตับ และการแพร่กระจายของมะเร็งก็มีความสำคัญต่อแนวทางการรักษาด้วย ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคตับที่เป็นพื้นฐานอยู่เดิม พร้อมๆ ไปกับการรักษามะเร็งตับ
วิธีการรักษามะเร็งตับ มีหลากหลายวิธี ได้แก่..
1. การผ่าตัด ทำได้ในผู้ป่วยที่ยังไม่มีภาวะตับแข็ง หรือเป็นตับแข็งระยะแรก และก้อนมะเร็งมีขนาดไม่โตมาก และยัง ไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะข้างเคียง
2. การฉีดแอลกอฮอล์เข้าก้อนมะเร็งโดยตรง ผ่านทางผิวหนัง ในกรณีที่ก้อนมีขนาดเล็ก
3. การใช้คลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงทำลายก้อน โดยใช้เข็มสอดผ่านทางผิวหนัง (Radiofrequency Ablation) คลื่นเสียงนี้ก่อให้เกิดความร้อน จนสามารถทำให้เซลล์มะเร็งตายได้
4. การฉีดยาเคมีผ่านทางเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง ร่วมกับการใช้สารอุดเส้นเลือดที่เลี้ยงก้อนมะเร็ง (Chemoembolization) เป็นการลดเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง และให้ยาเคมีเพื่อทำลายเนื้อมะเร็งโดยตรง
5. ยาเคมีบำบัดโดยใช้ยารักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) เพื่อลดการเจริญเติบโตของมะเร็ง เช่น ยา Sorafenib
6. การผ่าตัดปลูกถ่ายตับ
การเฝ้าระวังและการป้องกันการเกิดมะเร็งตับ
1. รับประทานอาหารให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการรับประทานถั่วป่น และพริกแห้ง ซึ่งอาจมีสารอัลฟ่าท๊อกซินปนเปื้อน อยู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
2. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่
3. แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี ในกรณีที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน
4. ในกรณีที่มีภาวะตับแข็งแล้ว ควรได้รับการตรวจเลือด และพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ตรวจอัลตร้าซาวนด์ช่อง ท้องส่วนบนอย่างสม่ำเสมอทุก 6-12 เดือน เพื่อเฝ้าระวังมะเร็งตับ
บทความจาก
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและโรคตับ
โรงพยาบาลพญาไท 2
โทร 02-617-2444 ต่อ 7401, 7406
Comments